13 ก.ย. 2558

คุยกับโหรปริญญาโท ตอน : ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจตนา


เจตนา คือ ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การกระทำไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องหรือผิดทาง

เวลาว่างไม่ค่อยตรงกันนักแต่เมื่อมีโอกาสผมก็ดพูดคุยกับ โหรปริญญาโทรถึงเรื่องราวทั่วไปที่ผมยังมีข้อสงสัยในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์ ตามประสาคนรู้น้อยแต่ชอบเรียนรู้อย่างผม

ผม : สวัสดีครับโหรป.โท ช่วงนี้ดูงานยุ่งๆนะครับ

โหรป.โท : ใช่จ๊ะช่วงนี้มีคนมาเรียนที่สถาบันพัฒนาวิชาโหราศาสตร์ ตักศิลาโหราแทบทุกวันค่ะ เริ่มมีคนรู้จักมาจากทางเน็ตและจากการบอกต่อจากคนที่เคยมาเรียนมากขึ้น

ผม : ดูจากตารางเรียนล่าสุดนี้ เปิดเกือบทุกวันเลยนะครับ

โหรป.โท : จริงๆอยากเปิดทุกวันค่ะ แต่ที่ขอหยุดวันพฤหัสก็เพื่อที่จะไปเรียนรู้เพิ่มเติม เพิ่มพูนในแนวเชิงลึกมากขึ้น เพื่อนำมาพัฒนาหลักสูตรให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผม : นี่ขนาดเป็นอาจารย์แล้วนะครับ

โหรป.โท : ยิ่งเป็นระดับอาจารย์เรายิ่งต้องเรียนรู้มากขึ้นค่ะ เพราะอย่างที่เขียนพูดไว้คร่าวที่แล้วว่า วิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาที่เรียนรู้ได้แบบไม่มีวันจบสิ้น เราจะต้องเรียนรู้ ต่อยอด ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาตนเองเป็นโหรที่ทรงคุณค่าอย่างแท้จริง

ผม : ยอดเยี่ยมเลยครับสำหรับวิธีคิดแบบนี้ ขอชื่นชมครับ

โหรป.โท : ขอบใจจ้า

ผม : ผมมีข้อสงสัยอย่างหนึ่งที่อยากจะสอบถามและคาใจมากๆเลยครับ เกี่ยวกับการดูดวงของหมอดู คือว่า ผมเห็นหมอดูบางคนสร้างบรรยากาศการดูดวงด้วยน้ำเสียง อุปกรณ์ประกอบ และก็อ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่น องค์เทพต่างๆ เพื่อที่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือ และเรียกเก็บเงินแพงๆ ซึ่งหลายคนก็หลงเชื่อและยินยอมเสียเงิน หมอดูแบบนี้เขายังไงครับ ผมอยากทราบ

โหร ป.โท : เป็นคำถามที่ดีมากและเป็นคำถามที่ถามที่หลายคนถามฉันบ่อยๆ ก่อนอื่นฉันจะถาทกลับก่อนว่า คนที่มาดูหมอส่วนใหญ่เป็นคนแบบไหน ทุกข์หรือสุขมากกว่า?

ผม : ทุกข์แน่นอนครับ เท่าที่ผมรู้มาคนมีความสุขไม่ค่อยวิ่งไปหาหมอดูนะครับ ส่วนใหญ่มีปัญหาหนักๆไปหาทั้งนั้น

หมอดูป.โท : ใช่แล้ว คนที่มาหาหมอดู คือ คนที่มีปัญหาและปัญหาที่มีหนักมากสำหรับเขา เขามาหาหมอดดูด้วยความคาดหวังว่าจะพบเจอทางออก แต่หากมาพบเจอหมอดูประเภทที่หลอกลวง อ้างเทพองค์โน่นนี้เพื่อยกตัวเองให้สูงจนคนอื่นหลงเชื่อ จนต้องเสียเงินเสียทองไปมากมาย มันเหมือนกับว่ากำลังซ้ำเติมเขาให้ทุกข์หนักไปกว่าเดิมอีก

ผม : ผมเห็นด้วยครับเรื่องนี้ มันเหมือนเป็นการซ้ำเติมจริงๆ  ผมนึกถึงคราวที่แล้วที่คุยกันว่า หมอดูเหมือนกับที่ปรึกษาหาทางออกของปัญหาหรือจิตแพทย์คนหนึ่ง หากหมอดูมีเจตนาหลอกลวงก็เหมือนกับซ้ำเติมให้เขาทุกข์หนักไปอีก แทนที่จะเจอทางออก กลับไปเจอทางตันแทน

หมอดูป.โท : แต่จริงๆแล้วหมอดูประเภทชอบหลอกลวงถือว่าเป็นส่วนน้อยมากๆในวงการนะ แต่ก็เหมือนกับวงการอื่นๆนั่นละ ที่ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นกันไปทั้งข้อง แต่สิ่งดีๆที่มีเยอะรอให้เราศึกษาอยู่นะคะ

ผม : แล้วเรื่ององค์เทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หมอดูที่เขาชอบใช้อ้างกัน ตรงนี้อยากให้ขยายความนิดหนึ่งครับ

หมอดูป.โท : อ๋อคะ ตรงจุดนี้ก็เคยคุยกับระดับครูบาอาจารย์ท่านเคยบอกอย่างมีเหตุผลว่า องค์เทพนั้นท่านอยู่สูง ไม่น่าจะลงมาประทับร่างมนุษย์ที่ยังเต็มไปด้วยความสกปรกของกิเลส ตัณหา เช่นนี้หรอกคะ

ผม : อืม...น่าคิดให้ลึกๆนะครับประเด็นนี้

หมอดูป.โท : การที่จะยึดหมอดูเป็นอาชีพแบบระยะยาวจนลมสุดท้ายของชีวิต เราต้องสร้างคุณค่าผ่านการช่วยเหลือคนด้วยเจตนาที่ดี ไม่ใช่เจตนาที่จะคอยเฝ้าแต่จะหลอกลวงเงินคนที่เขากำลังทุกข์ร้อนอยู้แล้ว ซึ่งผิดกฎจรรยาบรรณการเป็นหมอดูอย่างรุนแรง

ผม : ครับผม ผมเห็นด้วยมากๆ ครับ วิธีคิดแบบนี้ไม่ได้ใช้ได้เฉพาะวงการอาชีพหมอดดูเท่านั้น วงการอาชีพอื่นๆก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ด้วยเจตนาที่ดีต่อตนเองและผู้อื่นเพื่อความยั่งยืนของวิชาชีพของตนด้วย ผมต้องขอขอบคุณ หมอดูป.โทมากๆนะครับที่ให้แง่คิดดีๆในครั้งนี้ โอกาสหน้าผมจะขออนุญาตมาคุยแลกเปลี่ยนกันอีกครั้งครับ ขอบคุณครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น