สังเกตไหมว่าในภาวะที่สังคมเกิดวิกฤต
เศรษฐกิจถดถอย ข้าวยากหมากแพง
ผู้คนมักจะมองหาที่พึ่งทางใจเพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวของตัวเองสบายใจและใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขได้
และที่พึ่งหนึ่งที่มักพูดถึงเป็นลำดับต้นๆ คือ หมอดู
เรื่องจริงที่เราพบได้บ่อยๆ
คือ คนเราไม่ว่าการศึกษาสูงเพียงใด
ตั้งแต่เรียนไม่จบจนถึงระดับด๊อกเตอร์ก็ยังตัดสินใจที่จะพึ่งพาคำชี้แนะจาก หมอดู
เพราะอะไร?
วิชาการนั้นหาเรียนได้จากระบบการศึกษาที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้
แต่วิชาชีวิตเราต้องเรียนรู้เอง สัมผัสเอง และตัดสินใจเอง
คนที่ไปหาหมอดูนั้นร้อยทั้งร้อย
คือ ผู้ที่มีเรื่องร้อนใจ ทุกข์ใจในขณะนั้น แต่สิ่งที่ควรระวัง คือ
การที่เรายกความศรัทธาในตัวเองไปให้กับคนอื่นจนหมดสิ้น
และเราเองได้แต่ฟังคำชี้ชะตาจากหมอดูจนเหมือนถูกถอดวิญญานออกไป
หากเราปรับทัศนคติตัวเอง
เริ่มต้นจากการพิจารณาสาเหตุของความทุกข์และหาทางออกด้วยตนเอง
หรือถ้าคิดจะพึ่งพาหมอดูก็จงไปด้วยสติที่เปิดใจรับฟังและคิดตามสิ่งที่หมอดูได้ทำนายทายทัก
ด้วยสติเราจะไม่ตื่นไปกับเรื่องร้ายๆที่หมอดูทักที่ยังไม่เกิดขึ้น
และเมื่อหมอดูทักว่าจะเกิดเรื่องร้ายเราเองยิ่งต้องตั้งสติให้เข้มแข็งมากขึ้น
ระมัดระวังการใช้ชีวิตมากขึ้น แต่หากหมอดูทักถึงเรื่องดีๆ เราเองก็ไม่ควรจะหลงจนลืมสติไปเช่นเดียวกัน
เพราะอย่าลืมว่าใดใดในโลกนี้ไม่จีรัง
ฝ่ายหมอดูเอง ตามความคิดของผม
ผมมองว่าหมอดู คือ นักจิตวิทยาคนหนึ่งครับ เขาก็ใช้ศาสตร์ตามตำราในการทำนายในสไตล์ของตัวเอง
ผมมองว่าหน้าที่ของหมอดูนอกจากจะทำหน้าที่ทำนายทายทักเพื่อวัดความแม่นกัน
หมอดูควรจะให้ความสำคัญให้กับผู้ที่มาพึ่ง ให้เขาได้รู้จักใจตัวเอง
ให้รู้จักพึ่งตนเอง แก้ปัญหาด้วยตนเอง ชี้ให้เห็นคุณค่าว่าเขามีดีอะไร
และเขาควรจะใช้คุณค่าของตัวเองเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วหากหมอดู
ดูทั้งดวง ดูทั้งใจ
และให้สติได้ครบถ้วนผมมองว่าวงการนี้จะยกระดับไปได้อีกระดับเลยทีเดียวครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น